e-book-mindset

E-BOOK : Mindset การตลาดและการขายที่ธุรกิจต้องรู้! ปรับความคิดให้ใช่ พาธุรกิจโตไวแบบติดสปีด

Mindset การตลาดและการขายที่ธุรกิจต้องรู้! ปรับความคิดให้ใช่ พาธุรกิจโตไวแบบติดสปีด

ถ้าธุรกิจของคุณยังไม่โตไวตามที่ตั้งใจ ลองเช็กหน่อยสิว่า คุณโฟกัสถูกจุดหรือยัง? Mindset คือกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องการตลาดและการขาย หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจมักสับสนระหว่างสองสิ่งนี้ หรือไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไงให้เข้าที่ อีบุ๊กเล่มนี้จะพาคุณไปเปิดมุมมองใหม่ ชัดเจนทั้งการตลาดและการขาย ปรับความคิด และพาธุรกิจของคุณก้าวหน้าแบบติดสปีด!"


 เนื้อหา E-book:

  1. บทนำ: "แยกให้ชัด การตลาดไม่ใช่การขาย!"

    • อธิบายว่า Mindset เป็นกุญแจสำคัญในการทำธุรกิจให้โตไว การตลาดและการขายไม่เหมือนกัน แต่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • ตัวอย่างการทำงานร่วมกันระหว่างการตลาดและการขายที่ประสบความสำเร็จ
  2. บทที่ 1: "การตลาด = การสร้างโอกาส การขาย = การปิดดีล"

    • การตลาดเน้นที่การสร้างการรับรู้ (Awareness) ทำให้ลูกค้ารู้จักและสนใจในแบรนด์ การขายเน้นการทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้อย่างมั่นใจ
    • Mindset: เจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจว่าทั้งสองอย่างนี้มีบทบาทที่ต่างกัน การตลาดดึงลูกค้าเข้ามา การขายคือการปิดการขาย
  3. บทที่ 2: "การตลาดเป็นเรื่องของความไว แต่การขายต้องใช้ความชัดเจน"

    • การตลาดต้องพร้อมปรับตัวตามเทรนด์และช่องทางใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว ขณะที่การขายต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน ตรงประเด็น เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ไวขึ้น
    • Mindset: การปรับตัวให้เร็ว แต่คงความชัดเจน เป็นหัวใจสำคัญของทั้งการตลาดและการขาย
  4. บทที่ 3: "ลงทุนในการตลาดระยะยาว การขายให้ผลลัพธ์ทันที"

    • การตลาดที่ดีจะให้ผลลัพธ์ในระยะยาว เช่น การสร้างแบรนด์ สร้างความไว้วางใจ ส่วนการขายเป็นเรื่องของการปิดการขายให้ได้ทันที
    • Mindset: เจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจและยอมรับว่า การตลาดบางอย่างอาจไม่เห็นผลทันที แต่จะสร้างผลลัพธ์ในระยะยาว
  5. บทที่ 4: "โฟกัสผิดจุด ธุรกิจก็โตช้า"

    • หลายครั้งเจ้าของธุรกิจมักไปโฟกัสผิดจุด เช่น ทำการตลาดแต่ลืมวางแผนการขาย หรือเน้นแต่ยอดขายโดยไม่ลงทุนในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง
    • Mindset: จงโฟกัสที่การสร้างโอกาสทางการตลาดและพร้อมที่จะปิดดีลด้วยกลยุทธ์การขายที่ชัดเจน
  6. บทที่ 5: "การใช้ข้อมูลเพื่อปรับกลยุทธ์การตลาดและการขาย"

    • การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากการทำการตลาดหรือข้อมูลจากการขาย นำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงกลยุทธ์ให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง
    • Mindset: อย่าตัดสินใจเชิงสัญชาตญาณ แต่จงใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนที่ชัดเจนและเป็นไปได้
  7. บทสรุป: "ธุรกิจที่โตไว ต้องชัดทั้งการตลาดและการขาย"

    • สรุปถึงความสำคัญของการแยกแผนการตลาดและการขาย พร้อมแนวทางในการนำสองฝ่ายนี้มาทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจ

บทที่ 1: การตลาด = การสร้างโอกาส การขาย = การปิดดีล

การตลาดและการขายมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วสองอย่างนี้มีบทบาทต่างกันอย่างชัดเจน และทั้งสองฝ่ายต้องทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ หากเจ้าของธุรกิจเข้าใจบทบาทของทั้งคู่ ธุรกิจของคุณจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว


การตลาด = การสร้างโอกาส (Marketing Creates Opportunities)

การตลาดไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังขายสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่หมายถึงการสร้างโอกาสและพื้นที่ให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก การตลาดทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจ สร้างความต้องการ และกระตุ้นให้ลูกค้าอยากรู้จักคุณมากขึ้น

หน้าที่ของการตลาด:

  • สร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ให้ลูกค้ารู้จักชื่อแบรนด์และจดจำคุณได้
  • ดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นผ่านเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
  • กระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้า หรือการบริการ ผ่านการโฆษณา แคมเปญ หรือข้อเสนอพิเศษ

การขาย = การปิดดีล (Sales Closes the Deal)

ในขณะที่การตลาดดึงดูดลูกค้าเข้ามา การขายทำหน้าที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนความสนใจเหล่านั้นให้กลายเป็นการซื้อจริง การขายเกี่ยวข้องกับการเจรจา ช่วยเหลือลูกค้า ตอบคำถาม และสร้างความมั่นใจเพื่อให้พวกเขาตัดสินใจซื้อ

หน้าที่ของการขาย:

  • นำเสนอข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
  • เจรจาเพื่อสร้างความมั่นใจและตอบข้อสงสัย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อคุ้มค่า
  • ปิดการขายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

Mindset ที่เจ้าของธุรกิจต้องมี

หลายครั้งที่เจ้าของธุรกิจมักเข้าใจผิดว่า การตลาด คือการขาย การตลาดอาจไม่ได้นำยอดขายทันที แต่เป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการขายในอนาคต การขาย คือกระบวนการสุดท้ายที่นำยอดขายเข้ามา การตลาดและการขายจึงต้องทำงานร่วมกันอย่างชัดเจน

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง:

  • อย่าคาดหวังว่าการตลาดจะให้ยอดขายทันที แต่ให้มองว่ามันคือการลงทุนระยะยาวในการสร้างแบรนด์
  • แยกแผนการตลาดและแผนการขายออกจากกัน และทำให้สองฝ่ายนี้ทำงานประสานกัน
  • ให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลจากการตลาดมาช่วยในการตัดสินใจทางการขาย

ตัวอย่าง:

ถ้าการตลาดคือการเปิดประตู การขายก็คือการเชิญลูกค้าให้เข้ามาซื้อ การตลาดอาจใช้เวลาสร้างความเชื่อมั่น ดึงลูกค้าให้มาสนใจแบรนด์ของคุณ แต่เมื่อถึงเวลาที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อ ทีมขายต้องพร้อมที่จะให้ข้อมูลและปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพ


สรุป: เข้าใจบทบาทของการตลาดและการขาย

การตลาดและการขายต้องทำงานร่วมกัน การตลาดช่วยให้ลูกค้ารู้จักและสนใจ การขายทำหน้าที่ปิดดีลและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เมื่อทั้งสองฝ่ายทำงานได้อย่างเต็มที่ ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างมั่นคงและรวดเร็ว

บทที่ 2: "การตลาดเป็นเรื่องของความไว แต่การขายต้องใช้ความชัดเจน"

ถ้าคิดว่าการทำธุรกิจคือลงสนามแข่งความเร็ว คุณคิดถูกแล้ว! แต่เดี๋ยวก่อน การตลาดกับการขายมันไม่ได้เร่งเครื่องไปในทางเดียวกันนะ การตลาดต้องไวเหมือน รถแข่ง ที่ปรับตัวได้ตลอดเวลา ส่วนการขาย... ต้องชัดเจนเหมือน ป้ายบอกทาง ที่พาลูกค้าไปสู่เส้นชัยแบบตรงเป๊ะ งั้นเรามาดูกันว่า ทำไมการตลาดถึงต้องไว แต่การขายต้องชัด!


การตลาดต้องไว... ไวแบบวิ่งตามเทรนด์!

ในยุคที่อะไรก็เปลี่ยนเร็วเหมือน TikTok 15 วินาที ถ้าการตลาดคุณยังค่อยๆ ลากไปเหมือน เต่าคลาน เตรียมตัวพลาดขบวนได้เลย! การตลาดคือการตามเทรนด์ให้ทัน เพราะทุกวันนี้ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจได้ในพริบตาเดียว การตลาดที่ดีต้องปรับตัวเร็ว ทันกระแส ใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ และกระตุ้นให้ลูกค้าอยากรู้จักแบรนด์ของคุณไวกว่าใคร

วิธีการทำให้การตลาดไว:

  • อัปเดตเทรนด์ตลอดเวลา: อย่าลืมติดตามกระแสใหม่ๆ ทั้งบนโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แล้วปรับเนื้อหาให้เข้ากับสถานการณ์ ถ้ากระแสมา ก็ต้องพร้อมเกาะทันที!
  • คอนเทนต์ต้องปัง ไม่พัง: ใช้คอนเทนต์ที่กระชับ โดนใจ ไม่น่าเบื่อ อย่ารอช้า! ขืนคุณปล่อยเนื้อหาช้าไปนิดเดียว ลูกค้าอาจไปดูแมวเต้นใน TikTok แล้วลืมคุณไปเลยก็ได้
  • รวดเร็วในทุกการสื่อสาร: ทำโฆษณา เปิดแคมเปญ ขายของ ไม่ต้องรอวันดีคืนดี ขยันเสิร์ฟเนื้อหาดีๆ ให้ลูกค้าตลอดเวลา และที่สำคัญตอบแชทให้ไว ไม่อย่างนั้นลูกค้าไปซื้อเจ้าอื่นก่อนแน่นอน!

การขายต้องชัด... ชัดแบบไม่อ้อมค้อม!

พอการตลาดดึงลูกค้ามาหาคุณได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวของทีมขายที่ต้องมาปิดดีล การขายที่ดีไม่ใช่การพูดเยอะ แต่ต้องให้ข้อมูลครบ ชัดเจน เข้าใจง่าย ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เออ ซื้อเหอะ คุ้ม! เหมือนการบอกทาง ถ้าทีมขายของคุณบอกผิด หรือพูดวกไปวนมา ลูกค้าก็อาจขอ "คิดดูก่อนนะ" แล้วหายไปไม่กลับมาอีกเลย!

วิธีการทำให้การขายชัด:

  • ตอบตรงประเด็น: อย่าพูดอ้อมโลก! ลูกค้าถามอะไรก็ตอบตรงๆ ไม่ต้องหยอดมุกเยอะเกิน เพราะเขาต้องการคำตอบที่ทำให้มั่นใจว่าคุ้มค่าเงินทุกบาท
  • ข้อมูลต้องแม่น: คำถามทั่วไปเกี่ยวกับสินค้า/บริการที่ลูกค้าถามบ่อย เช่น "ประกันกี่ปี?" "ส่งฟรีมั้ย?" ทีมขายต้องรู้และให้คำตอบได้ทันที ห้ามลังเลหรือพูดว่า "ขอเช็กก่อนนะคะ" เพราะนั่นทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจ
  • สร้างความเชื่อมั่นในทันที: ชี้ชัดให้ลูกค้าเห็นว่า ซื้อสินค้านี้ไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นยังไง หรือจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เขาได้บ้าง บอกให้ครบ ชัดทุกข้อ ไม่มีอะไรให้ค้างคาใจ!

Mindset ที่เจ้าของธุรกิจต้องมี

การตลาดที่ไวจะช่วยดึงดูดลูกค้าเข้ามาเยอะ แต่การขายที่ชัดเจนคือเครื่องมือที่จะปิดดีลให้สำเร็จได้ ดังนั้น mindset ที่คุณต้องมีคือ การตลาดต้องปรับให้เร็ว แต่ การขายต้องเน้นข้อมูลที่เป๊ะชัด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้ออย่างมั่นใจ

สิ่งที่ควรทำ:

  • ลงทุนในทีมการตลาดที่เข้าใจเทรนด์ไว แต่ก็ต้องมีทีมขายที่พูดตรงประเด็น เข้าใจสินค้า และตอบคำถามได้ทุกอย่าง
  • ทำให้การตลาดเป็นตัวเร่งเครื่อง ส่วนการขายเป็นตัวปิดดีล พูดง่ายๆ คือ การตลาดต้องไว แต่การขายต้องชัวร์!

ตัวอย่างฮาๆ:

ลองนึกภาพดูนะ ถ้าคุณทำการตลาดเก่งแบบสุดๆ ลูกค้าสนใจเข้ามาถามเพียบ แต่ทีมขายของคุณดันตอบแบบไม่ชัดเจน เช่น ลูกค้าถามว่า "อันนี้มีกี่สีคะ?" แล้วทีมขายตอบว่า "ก็ไม่แน่ใจนะคะ รู้สึกจะมีหลายสีอยู่ค่ะ". ลูกค้าได้ฟังแล้วอาจคิดว่า "งั้นเดี๋ยวไปถามเจ้าอื่นดีกว่า". โอกาสปิดดีลหลุดไปแบบไม่รู้ตัว!


สรุป: การตลาดไว การขายชัด คือคู่หูธุรกิจที่ลงตัว!

การตลาดเป็นตัวสร้างโอกาส แต่ทีมขายคือคนที่ทำให้ทุกอย่างเป็นจริงได้ การทำงานร่วมกันระหว่างสองฝ่ายนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณไม่แค่โต แต่พุ่งไปข้างหน้าแบบติดสปีด อย่าลืมว่า ไวแต่ไม่ชัดเจนก็พัง และ ชัดแต่ไม่ทันก็หลุดโอกาส!


 

เคล็ดลับโค้ชเจินเจิน:
"การตลาดมันต้องไว แต่ถ้าอยากให้ไวแล้วพุ่งแรงไปไกล การขายต้องปิดดีลให้ชัวร์ ลูกค้าไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ ยิ่งชัด ยิ่งซื้อ ยิ่งเร็ว ยิ่งโต!

 

บทที่ 3: "ลงทุนในการตลาดระยะยาว การขายให้ผลลัพธ์ทันที"

ถ้าพูดถึงเรื่องธุรกิจ หลายคนมักจะโฟกัสไปที่ยอดขายทันที คิดว่า "ลงทุนแล้วต้องได้เงินกลับมาเลย!" แต่เดี๋ยวก่อน! การตลาดมันไม่ใช่แบบนั้นนะจ๊ะ เพราะการตลาดที่ดีไม่ใช่การหวังผลลัพธ์ทันทีแบบฉับพลัน แต่มันคือการวางรากฐานระยะยาว ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณยั่งยืนแบบไปไกลได้เรื่อยๆ ส่วนการขาย... ใช่แล้ว มันคือการทำให้ได้เงินกลับมาเดี๋ยวนี้! มาดูกันว่าทำไมการตลาดถึงต้องเป็นเรื่องของการลงทุนระยะยาว และการขายคือการผลักดันให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นแบบทันใจ!


การตลาด = การสร้างความยั่งยืนระยะยาว

การตลาดไม่ได้เกี่ยวกับแค่การทำให้ยอดขายพุ่งทันที แต่คือการสร้างแบรนด์ที่ลูกค้าจะจดจำได้ในระยะยาว คิดดูสิ ถ้าเราทำการตลาดที่ดี ให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ของเรา เมื่อไหร่ที่เขาต้องการซื้ออะไรบางอย่าง เขาจะนึกถึงเราเป็นอันดับแรก! การสร้างแบรนด์นั้นต้องใช้เวลา ต้องมีความอดทน แต่ผลลัพธ์จะคุ้มค่ามากในอนาคต

ทำไมการตลาดถึงต้องใช้เวลา?

  • การสร้างแบรนด์ต้องใช้เวลา: การตลาดช่วยให้ลูกค้ารู้จักคุณ แต่ไม่ใช่ว่าทำแคมเปญหนึ่งแล้วลูกค้าจะเชื่อใจคุณทันที การสร้างความไว้วางใจต้องการเวลาทำให้ลูกค้าเห็นความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
  • สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า: การตลาดที่ดีไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และตอบสนองต่อความต้องการของเขา
  • การวางรากฐานเพื่ออนาคต: การสร้างการรับรู้ผ่านการทำการตลาด เช่น SEO, การโฆษณา หรือโซเชียลมีเดีย จะทำให้ลูกค้ารู้จักและจดจำแบรนด์ของคุณในระยะยาว ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาพร้อมจะซื้อ แบรนด์ของคุณจะเป็นตัวเลือกอันดับแรก

การขาย = ผลลัพธ์ทันที

เมื่อการตลาดทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวแล้ว การขายคือจังหวะที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ทันที ทีมขายที่เก่งจะรู้วิธีปิดดีลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ใช้ข้อมูลจากการตลาดมาสนับสนุนการนำเสนอ และชักชวนลูกค้าให้ซื้อสินค้า ณ ขณะนั้น

ทำไมการขายถึงเน้นผลลัพธ์ทันที?

  • เจอแล้วต้องปิดให้ได้: การขายคือกระบวนการที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจทันที ด้วยข้อเสนอที่โดนใจ พร้อมคำตอบที่ชัดเจน ยิ่งเจอลูกค้าที่พร้อมจะซื้อ ทีมขายต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือ!
  • ทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจ: การขายเป็นขั้นตอนที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าตัวเลือกนี้ดีที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา และคุ้มค่ากับการตัดสินใจ
  • การกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความเร่งด่วน: การนำเสนอโปรโมชัน การให้ข้อเสนอพิเศษ หรือการจัดการกับข้อสงสัยของลูกค้าในทันที จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น การขายที่เก่งคือต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "ซื้อวันนี้ดีที่สุด!"

Mindset ที่เจ้าของธุรกิจต้องมี

อย่ามองว่าการตลาดคือการลงทุนที่ต้องได้ผลตอบแทนทันที แต่จงมองว่าเป็นการสร้างฐานลูกค้าและความไว้วางใจในระยะยาว ส่วนการขายเป็นกระบวนการที่ต้องรวดเร็ว แม่นยำ และชัดเจน เพื่อให้ได้ยอดขายในทันที ทั้งสองอย่างต้องทำงานประสานกันเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง

สิ่งที่ควรทำ:

  • ลงทุนในการตลาดระยะยาว: สร้างแบรนด์ของคุณให้แข็งแกร่ง สร้างคอนเทนต์ที่ลูกค้าจดจำและติดตามอย่างต่อเนื่อง อย่าหวังแค่ยอดขายวันนี้ แต่ให้คิดถึงอนาคต!
  • ผลักดันการขายให้ทันที: เมื่อลูกค้าเข้ามาแล้ว ทีมขายต้องพร้อมปิดดีลทันที อย่าเสียเวลาตัดสินใจนาน ทำให้การขายดูน่าดึงดูดและง่ายต่อการตัดสินใจ

ตัวอย่างเฮฮา:

ลองคิดดูนะ ถ้าคุณใช้เวลาและพลังงานไปกับการทำการตลาดอย่างยาวนาน พยายามโปรโมตแบรนด์ของคุณบนโซเชียลมีเดียจนลูกค้ารู้จักเต็มฟีด แต่พอถึงเวลาขาย ทีมขายกลับช้าเหมือนเต่าคลาน! ลูกค้ามาถึงประตูแล้วก็ไปเจอทีมขายบอกว่า "รอสักครู่นะคะ ขอเช็กสต็อกก่อนค่ะ". โอกาสทองแบบนี้หลุดมือไปแน่นอน!


สรุป: การตลาดสร้างอนาคต การขายสร้างวันนี้

การตลาดคือการสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจในแบรนด์ ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อในระยะยาว ส่วนการขายคือการทำให้การตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นได้ในทันที การทำงานร่วมกันของทั้งสองฝ่ายจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือยั่งยืน!


เคล็ดลับโค้ชเจินเจิน:
การตลาดไม่ใช่แค่หวังผลวันนี้ แต่คือการสร้างแบรนด์ที่ลูกค้าจะนึกถึงเสมอ ส่วนการขายคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องซื้อวันนี้! ใช้ทั้งสองอย่างนี้ให้ถูก แล้วธุรกิจจะโตได้ไวและไปได้ไกลกว่าที่คิด!

 

บทที่ 4: "โฟกัสผิดจุด ธุรกิจก็โตช้า"

เคยไหม? ทำงานแทบตาย ลงแรงไปเยอะ แต่ผลลัพธ์ไม่มาตามที่หวัง! บางทีคุณอาจจะโฟกัสผิดจุดอยู่นะ เพราะในธุรกิจ การเลือกโฟกัสให้ถูกจุดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าคุณเอาเวลาไปใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สร้างความเติบโต เช่น การทำทุกอย่างเองหรือการลงทุนในสิ่งที่ไม่จำเป็น นั่นแหละคือเหตุผลที่ธุรกิจคุณโตช้ากว่าที่ควร! มาดูกันว่าเจ้าของธุรกิจพลาดตรงไหนบ้าง แล้วเราจะแก้เกมได้ยังไง


ปัญหา: ลงแรงในเรื่องที่ไม่สำคัญ

บางคนมัวแต่สนใจรายละเอียดปลีกย่อย เช่น การตกแต่งร้านทุกกระเบียดนิ้ว การจัดระเบียบสต็อกสินค้าด้วยตัวเองทุกวัน หรือการทำคอนเทนต์เองทั้งหมด ทั้งที่ควรโฟกัสที่เรื่องใหญ่กว่า เช่น การวางแผนการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการขยายตลาด

ตัวอย่าง:
คุณอาจทุ่มเวลาหลายชั่วโมงไปกับการแก้ไขโลโก้แบรนด์ หรือทำกราฟิกเองแบบละเอียด ทั้งที่สิ่งที่ควรทำจริงๆ คือการวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขาย หรือพัฒนาคอนเนคชันกับลูกค้ารายใหญ่

วิธีแก้:

  • มอบหมายงานที่ไม่จำเป็นให้คนอื่นทำ เช่น จ้างฟรีแลนซ์หรือให้พนักงานช่วยทำ
  • โฟกัสกับการทำสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตของธุรกิจ เช่น การวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว การสร้างคอนเนคชัน หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์

ปัญหา: ไม่โฟกัสที่ลูกค้า

อีกจุดพลาดที่เจ้าของธุรกิจหลายคนทำ คือการคิดแต่เรื่องในมุมของตัวเอง ทำสินค้าหรือบริการตามใจฉัน โดยไม่ฟังเสียงลูกค้า หรือลืมใส่ใจว่าลูกค้าต้องการอะไรจริงๆ การโฟกัสที่ความต้องการของลูกค้าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโต ถ้าเรามัวแต่ทำสิ่งที่คิดว่าดี แต่ไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ยอดขายก็ไม่พุ่ง!

ตัวอย่าง:
บางครั้งคุณอาจคิดว่าสินค้าหรือบริการที่คุณพัฒนามานั้นดีที่สุดในตลาด แต่กลับไม่ตรงกับความต้องการจริงๆ ของลูกค้า เพราะคุณไม่ได้ถามหรือวิเคราะห์ความต้องการของพวกเขา

วิธีแก้:

  • ทำการสำรวจตลาดหรือทำวิจัยลูกค้า เพื่อลองฟังเสียงและความต้องการของพวกเขาให้มากขึ้น
  • สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการจริงๆ ของลูกค้า แทนที่จะทำตามความชอบของคุณเอง

ปัญหา: ลงทุนผิดที่ ผิดเวลา

เจ้าของธุรกิจหลายคนเลือกลงทุนในสิ่งที่ไม่ทำให้ธุรกิจโต เช่น ลงทุนในอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น หรือลงทุนในแคมเปญการตลาดแบบทุ่มงบก้อนใหญ่ ทั้งที่ยังไม่มีแผนชัดเจน นอกจากนี้ การลงทุนโดยไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลหรือแผนรองรับ ก็อาจทำให้ธุรกิจไม่พัฒนาเท่าที่ควร

ตัวอย่าง:
คุณอาจทุ่มงบประมาณไปกับการซื้ออุปกรณ์ใหม่ล่าสุดที่ยังไม่ได้จำเป็นต้องใช้ทันที หรือทำโฆษณาแบบทุ่มงบก้อนโตโดยไม่ได้ศึกษาว่าลูกค้าของคุณอยู่บนแพลตฟอร์มไหนกันแน่

วิธีแก้:

  • วิเคราะห์และวางแผนการลงทุนให้ดี เลือกลงทุนในสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเติบโต เช่น การพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือการขยายตลาดที่มีศักยภาพ
  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจ เพื่อลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

Mindset ที่เจ้าของธุรกิจต้องมี

โฟกัสคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ! ถ้าคุณมัวแต่จับทุกอย่างโดยไม่ได้วางแผน หรือโฟกัสในเรื่องที่ไม่สำคัญ คุณจะเสียเวลาและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นคุณต้องฝึกฝนการโฟกัสในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตของธุรกิจ

สิ่งที่ควรทำ:

  • สร้างลำดับความสำคัญ: เขียนรายการสิ่งที่คุณต้องทำและจัดอันดับความสำคัญ เช่น สิ่งไหนที่ทำให้ธุรกิจโตจริงๆ โฟกัสกับสิ่งนั้นก่อน
  • มอบหมายงาน: งานที่ไม่สำคัญหรือไม่ใช่จุดแข็งของคุณ ควรมอบหมายให้คนอื่นทำแทน แล้วคุณจะมีเวลาโฟกัสกับการขยายธุรกิจมากขึ้น

ตัวอย่างเฮฮา:

ลองคิดดูว่าถ้าคุณเอาเวลาไปวุ่นวายกับการจัดเรียงสินค้าในคลังแทบทุกวัน เพื่อให้มันเรียงสวยงาม แต่ดันไม่มีลูกค้าเข้ามาซื้อของ เพราะคุณไม่เคยทำการตลาดหรือสร้างโปรโมชันดีๆ! ถ้าโฟกัสผิดจุดยังไงก็พลาดใหญ่แน่นอน!


สรุป: โฟกัสให้ถูกจุด ธุรกิจถึงจะโตไว

การโฟกัสผิดจุดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจไม่เติบโต คุณต้องเลือกวางแผนและลงมือทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน การรู้จักจัดการเวลาและพลังงานให้ถูกจุด จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโตได้เร็วและมีทิศทางที่มั่นคง


เคล็ดลับโค้ชเจินเจิน:
"ถ้าอยากให้ธุรกิจโตไว จงโฟกัสให้ถูกจุด! งานเล็กๆ ที่ไม่ทำให้โต ส่งต่อให้ทีมได้เลย แล้วคุณจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่ใหญ่กว่า!

บทที่ 5: "การใช้ข้อมูลเพื่อปรับกลยุทธ์การตลาดและการขาย"

ในโลกธุรกิจปัจจุบัน การตัดสินใจที่ไม่ใช้ข้อมูลเหมือนการปิดตาขับรถ! หากคุณอยากให้ธุรกิจโตไว การพึ่งพาสัญชาตญาณอย่างเดียวคงไม่พอ การใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมันจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวม และชี้เป้าให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำกว่าที่เคย ลองมาดูกันว่า "ข้อมูล" มีความสำคัญยังไง และเราจะเอามาปรับกลยุทธ์ให้ปังได้ยังไง!


ทำไมข้อมูลถึงเป็นหัวใจสำคัญ?

ถ้าคุณไม่รู้ว่าลูกค้าอยู่ไหน ชอบอะไร ใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มไหน แล้วจะทำการตลาดให้ตรงจุดได้ยังไงล่ะ? ข้อมูลช่วยให้คุณรู้จักลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทั้งพฤติกรรม ความต้องการ และปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ การใช้ข้อมูลที่ถูกต้องจะทำให้คุณสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดและกลยุทธ์การขายที่ตรงเป้าและได้ผลมากขึ้น

ตัวอย่าง:
แทนที่จะเดาว่าลูกค้าชอบแบบไหน หรือจะตอบสนองกับแคมเปญอะไรดี คุณสามารถใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย การเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือพฤติกรรมการซื้อสินค้ามาวิเคราะห์ได้ เช่น ลูกค้าส่วนใหญ่เข้ามาจาก Instagram คุณก็สามารถเพิ่มงบการโฆษณาบน Instagram ให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด


การตลาดใช้ข้อมูลทำอะไรได้บ้าง?

  1. เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า
    ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในเว็บไซต์ คอนเทนต์ไหนที่มีการกดไลก์เยอะ หรือสินค้าประเภทไหนที่มักถูกดูมากที่สุด จะช่วยให้คุณวางแผนการตลาดได้ตรงเป้าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

  2. เลือกแพลตฟอร์มการโฆษณาที่เหมาะสม
    ข้อมูลจะบอกได้ว่าลูกค้าของคุณใช้งานแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด ถ้าคุณพบว่าลูกค้าของคุณชอบใช้ Facebook มากกว่า Instagram ก็สามารถโยกงบประมาณการโฆษณาไปยัง Facebook เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

  3. ปรับคอนเทนต์ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
    คุณสามารถดูได้ว่าคอนเทนต์ประเภทไหนที่ลูกค้าชอบ เช่น วิดีโอ บทความ หรือภาพกราฟิก จากนั้นคุณก็จะสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการและดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้มากขึ้น


การขายใช้ข้อมูลยังไงให้ปิดดีลได้ไวขึ้น?

  1. รู้ว่าลูกค้าชอบอะไร
    ข้อมูลการซื้อที่ผ่านมาจะบอกให้คุณรู้ว่าลูกค้าคนนี้สนใจอะไร สินค้าไหนที่พวกเขามักจะเลือกซื้อ และคุณสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการเสนอโปรโมชั่นหรือดีลพิเศษที่ตอบโจทย์พวกเขาโดยตรง

  2. ตอบคำถามลูกค้าได้ตรงจุด
    เมื่อคุณรู้ว่าลูกค้ามักจะถามคำถามอะไร หรือติดปัญหาตรงไหน คุณก็สามารถเตรียมคำตอบหรือคำแนะนำให้พร้อม ทำให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

  3. ใช้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่น
    ลูกค้ามักต้องการเห็นข้อมูลเพิ่มเติม เช่น รีวิวจากลูกค้าคนอื่น หรือสถิติการใช้งาน เมื่อคุณมีข้อมูลเหล่านี้พร้อม ลูกค้าจะรู้สึกมั่นใจและตัดสินใจได้ไวขึ้น ข้อมูลช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการขาย


เครื่องมือที่ช่วยในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

การใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณต้องมีเครื่องมือที่ช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เช่น:

  • Google Analytics: ช่วยดูพฤติกรรมของลูกค้าที่เข้าชมเว็บไซต์ คุณจะรู้ว่าพวกเขามาจากช่องทางไหน ใช้เวลากับคอนเทนต์อะไร และจากนั้นสามารถปรับแคมเปญได้ทันที
  • Facebook Insights/Instagram Insights: ช่วยดูว่าคอนเทนต์ไหนที่มีคนสนใจมากที่สุด กลุ่มผู้ชมของคุณคือใคร และเวลาไหนที่ดีที่สุดในการโพสต์คอนเทนต์
  • CRM (Customer Relationship Management): ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าและประวัติการซื้อขาย ทำให้คุณวางแผนกลยุทธ์การขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Mindset ที่เจ้าของธุรกิจต้องมี

การตัดสินใจแบบใช้สัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตช้ากว่าที่ควร การใช้ข้อมูลวิเคราะห์จะทำให้คุณตัดสินใจได้อย่างชัดเจน แม่นยำ และมองเห็นทิศทางที่ถูกต้อง

สิ่งที่ควรทำ:

  • เก็บข้อมูลให้เป็นระบบ: ใช้เครื่องมือช่วยในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ เพื่อให้คุณมีข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดหรือการขาย
  • ใช้ข้อมูลในการปรับแผน: อย่ายึดติดกับวิธีการเก่าๆ แต่ให้ใช้ข้อมูลที่คุณได้รับมาปรับแผนการตลาดและการขายให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างฮาๆ:

ลองนึกภาพว่าคุณไม่เคยใช้ข้อมูล แล้วคิดว่าสินค้าที่คุณขายดีอยู่บน Facebook แต่ที่จริงลูกค้าหลักๆ กลับมาจาก Instagram แต่คุณดันเอางบทั้งหมดไปลงโฆษณาบน Facebook... ผลลัพธ์ก็คือ งบหมด แต่ลูกค้ากลับหาย! นี่แหละผลของการไม่ใช้ข้อมูล ขับรถในทางที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ธุรกิจคุณก็อาจหลงทางได้ง่ายๆ!


สรุป: ใช้ข้อมูลให้เป็น ธุรกิจโตไวแน่นอน!

การใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และตัดสินใจจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การตลาดและการขายได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มยอดขาย หรือเข้าถึงลูกค้าใหม่ การมีข้อมูลที่แม่นยำจะทำให้คุณมองเห็นโอกาสและความท้าทายได้ชัดเจนขึ้น และนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน!


เคล็ดลับโค้ชเจินเจิน:
"ข้อมูลคือขุมทรัพย์ ถ้าใช้ให้ถูกทาง! อย่าใช้แค่สัญชาตญาณเพราะถ้าพลาด มันอาจพาคุณหลงทางได้ แต่ถ้าใช้ข้อมูล ทุกการตัดสินใจของคุณจะคมและตรงเป้าเสมอ

บทสรุป: "ธุรกิจที่โตไว ต้องชัดทั้งการตลาดและการขาย"

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณก็คงเริ่มเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า การแยกความแตกต่างระหว่าง การตลาด และ การขาย และการทำให้สองอย่างนี้ทำงานประสานกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเร่งการเติบโตของธุรกิจ แต่ละส่วนมีบทบาทที่ต่างกันออกไป และเมื่อทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว ธุรกิจของคุณจะไม่แค่ "โต" แต่จะ "โตไว" แบบติดจรวด!


สรุปภาพรวม: การตลาดและการขายคือพลังขับเคลื่อน

  • การตลาด: คือการสร้างการรับรู้ สร้างโอกาสให้คนรู้จักแบรนด์ของคุณ ดึงดูดลูกค้าด้วยเนื้อหา คอนเทนต์ และแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด แม้ว่าผลลัพธ์จากการตลาดอาจจะไม่ได้เห็นทันที แต่มันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว สร้างความเชื่อมั่น และทำให้ลูกค้านึกถึงคุณเมื่อพวกเขาพร้อมซื้อ
  • การขาย: คือกระบวนการปิดดีล ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ในตอนนั้น การขายคือการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าทันที พูดให้ชัด เคลียร์ทุกข้อสงสัย และทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจว่าคุณคือคำตอบที่ใช่

Mindset สำคัญ: ต้องแยกชัดเจน และประสานงานได้ลงตัว

การตลาดและการขายไม่ใช่เรื่องเดียวกัน! แต่ทั้งสองต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน การตลาดสร้างโอกาส การขายปิดดีล คุณจึงต้องปรับ Mindset ให้ชัดว่าการลงทุนในกลยุทธ์การตลาดคือการสร้างรากฐานระยะยาว ขณะที่การขายคือการสร้างผลลัพธ์ระยะสั้น ทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต้องเสริมพลังซึ่งกันและกัน

สิ่งที่ต้องทำ:

  • อย่าคิดว่าการตลาดคือการขาย จงมองว่ามันคือการสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ สร้างความสัมพันธ์
  • การขายต้องเข้าใจและใช้ประโยชน์จากข้อมูลและกลยุทธ์ที่การตลาดปูทางไว้ เพื่อนำไปสู่การปิดดีล
  • สองส่วนนี้ควรมีการวางแผนที่ชัดเจน แยกหน้าที่ชัดๆ แต่ทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการพาธุรกิจไปให้ไกลและโตให้ไว!

ตัวอย่างที่ชัดเจน:

ลองนึกภาพว่าคุณมีทีมการตลาดที่เก่งมาก ทำคอนเทนต์ยอดเยี่ยม ดึงดูดลูกค้าเข้ามาเยอะสุดๆ แต่พอถึงขั้นตอนการขายกลับไม่สามารถปิดดีลได้ เพราะทีมขายพูดไม่ชัดเจน ทำให้ลูกค้าสับสนและไม่มั่นใจ นี่แสดงให้เห็นว่า แม้การตลาดจะสร้างโอกาสได้ดีแค่ไหน ถ้าการขายไม่สามารถปิดดีลได้ ธุรกิจก็ไม่โต

ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีทีมขายที่เก่งสุดๆ ปิดดีลได้ทุกครั้ง แต่ไม่มีการตลาดมาดึงลูกค้าใหม่เข้ามา ก็เท่ากับว่าคุณกำลังหมดโอกาสขยายฐานลูกค้า ธุรกิจก็จะโตได้เพียงในระดับที่จำกัด


คำแนะนำสุดท้ายจากโค้ชเจินเจิน

"อยากให้ธุรกิจโตไว อย่าโฟกัสแค่ยอดขายทันทีทันใดอย่างเดียว เพราะนั่นคือการแก้ปัญหาปลายทาง! การสร้างแบรนด์ การตลาดที่ดี คือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวที่มั่นคง ส่วนการขายที่ชัดเจน ปิดดีลไว คือการทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นได้ทันที ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องทำให้สองอย่างนี้ทำงานร่วมกันเป็นทีม อย่ามองข้ามการตลาด เพราะมันคือรากฐานของความสำเร็จในระยะยาว!"


สรุปส่งท้าย:
ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจโตแบบไม่มีสะดุด จงเข้าใจว่าการตลาดและการขายต้องประสานพลังกัน การตลาดสร้างโอกาส การขายสร้างผลลัพธ์ เมื่อคุณทำทั้งสองอย่างนี้ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เล็กหรือใหญ่ ธุรกิจของคุณก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว!


เคล็ดลับโค้ชเจินเจิน:
"ธุรกิจที่ดีต้องโฟกัสทั้งปัจจุบันและอนาคต ใช้การตลาดปูทางไว้ยาวๆ แต่ก็ต้องพร้อมปิดดีลแบบทันทีเมื่อโอกาสมา อย่าปล่อยให้พลาด!

Back to blog